Dexon Technologyในงาน PTC Asia – Pipeline Technology Conference Asia งานประชุมและนิทรรศการเทคโนโลยีท่อส่งน้ำมันและก๊าซระดับโลกครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–13 พฤศจิกายน 2568 ณ Kuala Lumpur Convention Centre (KLCC) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย บริษัท DEXON ได้ร่วมแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีตรวจสอบท่อส่งด้วยการนำเสนอผลงานวิจัยล่าสุดในหัวข้อ“Managing Risks in Repurposed Hydrogen Pipelines: A Comparison of Inspection Methods”
โดย Mr. Tim Harris ผู้อำนวยการฝ่าย AI, Software & Reporting พร้อมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับผู้เชี่ยวชาญ และผู้ดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานจากนานาประเทศ
ปัจจุบัน หลายประเทศกำลังเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานสะอาดสำคัญของยุค Energy Transition หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความนิยมคือการ ปรับเปลี่ยนท่อส่งก๊าซมีเทนเดิมให้รองรับไฮโดรเจน (Repurposing) เนื่องจากช่วยลดต้นทุนและดำเนินงานได้รวดเร็วเมื่อเทียบกับการสร้างท่อใหม่
อย่างไรก็ตาม ท่อที่ถูกนำกลับมาใช้กับไฮโดรเจนต้องเผชิญ ความเสี่ยงเฉพาะทางด้านวัสดุและความปลอดภัย ดังนี้
Hydrogen Embrittlement: โลหะเสี่ยงเปราะและแตกหักง่าย
Crack Initiation & Growth: รอยแตกร้าวสามารถเริ่มเกิดและเติบโตได้เร็วกว่าในท่อก๊าซทั่วไป
High Explosive Potential: ไฮโดรเจนไวไฟสูง ต้องการมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด ปัจจัยเหล่านี้ทำให้การเลือกเทคโนโลยีตรวจสอบที่เหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง
งานวิจัยของ DEXON ได้เปรียบเทียบเทคโนโลยีการตรวจสอบหลักที่ใช้กับท่อส่งพลังงาน โดยสรุปจุดเด่นและข้อจำกัดดังนี้:
1) Classic UT (Ultrasonic Testing)
ให้ความแม่นยำสูงที่สุดสำหรับตรวจจับรอยแตกร้าว
เหมาะสำหรับ Critical Crack Detection
ข้อจำกัด: ต้องใช้สารตัวกลาง (Liquid Couplant) ทำให้บางสภาวะใช้งานยาก โดยเฉพาะในท่อที่เป็น Gas Phase
2) EMAT และ ART
สามารถตรวจสอบได้ในสภาวะแก๊ส โดยไม่ต้องใช้ Couplant
ให้ความคล่องตัวสูง เหมาะกับท่อที่ไม่สามารถเติมของเหลวได้
ข้อจำกัด: ความไวในการตรวจรอยแตกร้าวต่ำกว่า UT
3) MFL (Magnetic Flux Leakage)
โดดเด่นมากในการตรวจการสูญเสียเนื้อโลหะและการกัดกร่อน
ข้อจำกัดใหญ่: ไม่สามารถตรวจ HIC (Hydrogen-Induced Cracking) ได้ดี
การปรับเปลี่ยนท่อส่งพลังงานเดิมมาใช้กับไฮโดรเจนถือเป็นโอกาสสำคัญของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการตรวจสอบที่เที่ยงตรงและครอบคลุม ดังนั้นการเลือกเทคโนโลยีตรวจสอบที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันความเสียหายของสินทรัพย์ ลดความเสี่ยงของการรั่วไหลหรือการระเบิด ยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนความปลอดภัยของทั้งชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน